วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การวัดด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain )

ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม bloom’s taxonomy

Bloom’s Taxonomy กล่าวถึงการจำแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจำแนกระดับความสามารถจากต่ำสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
1. ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge)
2. ความเข้าใจ (Comprehend)
3. การประยุกต์ (Application)
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis)
6. การประเมินค่า ( Evaluation)

1.ความรู้ความจำ ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการที่ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งนั้นได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์ที่สามารถเก็บเสียงและภาพของเรื่องราวต่างๆได้ สามารถเปิดฟังหรือ ดูภาพเหล่านั้นได้ เมื่อต้องการ
ตัวอย่างคำถาม มุมที่กาง  90  องศา  เรียกว่ามุมอะไร
ก. มุกฉาก
ข. มุมแหลม
ค. มุมป้าน
ง. มุมกลับ

2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อ และสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น ๆ
ตัวอย่างคำถาม “บ๊ะ”  เป็นคำพูดในลักษณะใด
ก. ดุ
ข. ขู่
ค. โต้แย้ง
ง. ประหลาดใจ

3. การนำความรู้ไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในกาแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้
ตัวอย่างคำถาม เราสามารถรับประทานอาหารชนิดใด  ทดแทนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้ 
ก. กล้วย
ข. ถั่วเหลือง
ค. มันสำปะหลัง
ง. เผือก

4. การวิเคราะห์ ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน
ตัวอย่างคำถาม สิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจนมากที่สุด
ก. ขยัน
ข. รายได้ดี
ค. โรคภัย
ง. เกียจคร้าน

5. การสังเคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนินงานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ หรือ แนวคิดใหม่
ตัวอย่างคำถาม ข้อใดเป็นจริงโดยทฤษฎี  แต่ไม่สามารถนำมาแสดงให้เห็นจริงได้
ก. ในอากาศมีน้ำ
ข. โลกดึงดูดวัตถุ
ค. โมเลกุลประกอบด้วยอะตอม
ง. ความร้อนเป็นพลังงาน

6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้
ตัวอย่างคำถาม ในเรื่องสังข์ทอง  นางรสนาเป็นคนประเภทใด
ก. ดี  เพราะซื่อสัตย์ต่อสามี
ข. ดี  เพราะเทวดาคอยช่วย
ค. ดี  เพราะอยู่ในกระท่อมได้
ง. ดี  เพราะไม่คิดเบียดเบียนใคร


วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ 4 Inside Out กับทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญา

Inside Out

Inside Out เปรียบเสมือนการทัศนศึกษาในหัวของคนเรา เพราะคนเรามีการคิด ตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา มีทั้ง อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะวัดหรือพิสูจได้ เมื่อได้ชมหนังแอนิเมชันเรื่องนี้แล้วทำไห้เราเห็นถึงการทำงานต่างๆ ในหัวของเราที่จะแสดงออกมาทางอารมณ์ ความรู้สึก หรือการตอบสนองอื่นๆ หนังแอนิเมชันเรื่องนี้ได้จำลองการแสดงออกทางอารมณ์ทั้ง 5 แบบ การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 5 ได้แก่ ความสุข (Joy), ความกลัว (Fear), ความโกรธ (Anger ), ความน่ารังเกียจ (Disgust) และความเศร้า (Sadness) โดยสมองแต่ละส่วนมีการทำหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป โดยในเรื่องจะมี

Joy ตัวแทนแห่งความสุข ผู้มีมาพร้อมร้อยยิ้มกว้างและเรื่องสนุกสนาน
Anger ตัวแทนของความรู้สึกโกรธ ผู้มาพร้อมกับไฟบนหัวยามเมื่อรู้สึกโมโหจัด เขาคือผู้ที่พร้อมจะถูกจุดระเบิดอยู่ตลอดเวลา
            Disgust ตัวแทนของความรู้สึกรังเกียจ อารมณ์ที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจในทุกสิ่งทุกอย่าง
และมาพร้อมท่าทางยียวน ดูเหวี่ยงๆ ตลอดเวลา
Fear ตัวแทนแห่งความรู้สึกกลัว ผู้ที่มาพร้อมความวิตกกังวลบนหางคิ้วซึ่งตกจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
Sadness ตัวแทนของความรู้สึกโศกเศร้า ความรู้สึกที่มาพร้อมความมัวหมองตลอดเวลา
ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะเปรียบเสมือนส่วนต่างๆ ของสมองที่คอยควบคุมอารมณ์ของคนเราในการแสดงออกมา ในบางครั้งเราอาจจะ มีความสุข หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ หรือหวาดกลัว ทุกอย่างที่กล่าวมาเกิดล้วนจากการสั่งการของสมองทั้งสิ้น คนทุกคนจะแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสถานะการณ์
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในหนังแอนิเมชันเรื่องนี้คือ ความจำ หรือความทรงจำ ซึ่งมีอยู่ 3 แบบคือ ความจำการรู้สึกสัมผัส (sensory Memory) ความจำระยะสั้น (Short-Term Memory) กับความจำระยะยาวหรือในเรื่องจะใช้คำว่า “ความจำหลัก” (Long-Term Memory) ในที่นี้ขอพูดถึงเฉพาะความจำหลัก ความจำหลัก คือ ที่ที่เราจำแบบฝังใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ยังจำได้ เช่น วันที่เราหัดปั่นจักรยานครั้งแรก เที่ยวทะเลครั้งแรก เล่นฮ็อกกี้ครั้งแรก สิ่งที่เรารู้สึกไม่ดีก็สามารถเป็นความจำหลักของเราได้เหมือนตอนที่ไรลีย์แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนแล้วเธอก็ร้องไห้ทำให้รู้สึกอับอายจนเกิดเป็นความจำฝังใจ

 

สิ่งที่ได้รับจากการดู Inside Out
1. สิ่งที่ทำให้เราร้องไห้เสียใจก็อาจจะนำมาซึ่งรอยยิ้มได้
2. ความเศร้าทำให้เรารู้จักความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
3. ความโกรธอาจนำมาซึ่งความเสียใจ
4. คนในครอบครัวคือคนที่จะอยู่กับเราในวันที่เราอ่อนแอ
5. สิ่งที่เราได้พบเห็นในแต่ละวันจะทำให้เราเติบโตขึ้น
6. ความสำเร็จต่างๆ มักเกิดจากความพยายาม
7. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง


ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1. ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
พัฒนาการทางการเรียนรู้และสติปัญญาของเด็กจะมีการพัฒนาไปตามช่วงของวัย เมื่อเราเติบโตขึ้นเราจะมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนขึ้น ทฤษฎีของเพียเจต์ก็มีการแบ่งพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กออกเป็นช่วงอายุ และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆก็จะมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์
            บรูเนอร์กล่าวว่า เมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้โครงสร้างทางปัญญาขยาย และซับซ้อนเพิ่มขึ้น กล่าวคือเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนรู้จะนำไปสู่การเรียนรู้โดยการค้นพบ เหมือนตอนที่ไรลีย์ย้ายบ้านทำให้เธอรู้สึกหดหู่ คิดถึงบ้านหลังเดิม คิดถึงเพื่อนเก่า จนทำให้เธิคิดที่จะหนีออกจากบ้าน
3. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล
ทฤษฎีการเรียนรู้ของออซูเบล เป็นการเรียนรู้แบบมีความหมายโดยการเรียนรู้สิ่งใหม่ แล้วมีการเชื่อมโยงกับความรู้เดิมเหมือนกับไรลีย์ที่ครอบครัวของเธอชอบเล่นฮ็อกกี้จึงทำมห้เธอเห็นวิธีการเล่นตั้งแต่เด็กๆ เมื่อเธอเข้าโรงเรียนจึงไก้เป็นนักกีในทีมฮ็อกกี้

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม

          ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม  มองผู้เรียนเหมือนกับ  กระดานชนวนที่ว่างเปล่า  และผู้สอนจะต้องจัดเตรียมประสบการณ์ให้กับผู้เรียน คำแนะนำหรือสิ่งเร้าจากสภาพสิ่งแวดล้อมจะถูกนำเสนอหรือแนะนำให้รู้จัก และผู้เรียนแสดงอาการตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น ด้วยการตอบสนองบางสิ่งบางอย่างออกมา  ความสำคัญขึ้นอยู่กับการเสริมแรง  ที่กำหนดจัดเตรียมไว้เพื่อกำกับพฤติกรรมที่ต้องการรูปแบบพฤติกรรมใหม่ ๆ จะถูกกระทำ  ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งกลายเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ  พฤติกรรมของผู้เรียนที่ยอมรับได้ คือ การเรียนรู้แสดงออกให้เห็นได้ในเชิงประจักษ์    
          ทฤษฎีการเรียนร้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) นักคิดกลุ่มนี้มองธรรมชาติมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือไม่ดีไม่เลวการกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus-response) การเรียนร้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง  การเรียนร้ของกลุ่มนี้ใช้การวัดสังเกตุและทดสอบพฤติกรรม ได้แก่แนวคิดของทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์  ทฤษฏีการวางเงื่อนไข (Conditionign Theory) แบบอัตโนมัติของพาฟลอฟ และวัตสัน การวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ ทฤษฎีการเรียนร้ของอัลส์เป็นต้น
          นักจิตวิทยาได้แบ่งพฤติกรรมของมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ
          1. พฤติกรรมเรสปอนเดนต์ (Respondent Behavior)
หมายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้าเมื่อมีสิ่งเร้าพฤติกรรมตอบสนองก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถจะสังเกตได้ ทฤษฎีที่อธิบายกระบวนการเรียนรู้ประเภทนี้ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory)
          2. พฤติกรรมโอเปอแรนต์ (Operant Behavior)เป็นพฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน และพฤติกรรมนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนทฤษฎีการเรียนรู้ที่ใช้อธิบาย Operant Behavior เรียกว่า ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning Theory) ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นว่าต้องการให้ Operant Behavior คงอยู่ตลอดไป

1. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theory)

แนวความคิดของพาฟลอฟ
          ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้คือ พาฟลอฟ (Pavlov) ทำการศึกษาทดลองกับสุนัข โดยฝึกสุนัขให้ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงในห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย การทดลองแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข ระหว่างการวางเงื่อนไข และหลังการวางเงื่อนไข 
          พาฟลอฟ นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงมาก พาฟลอฟสนใจศึกษาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โดยได้ทำการทดลองกับสุนัข ระหว่างที่ทำการทดลอง พาฟลอฟสังเกตเห็นปรากฏการณ์บางอย่างคือ ในบางครั้งสุนัขน้ำลายไหลโดยที่ยังไม่ได้รับอาหารเพียงแค่เห็น ผู้ทดลองที่เคยเป็นผู้ให้อาหารเดินเข้ามาในห้องนั้น สุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว จากปรากฏการณ์ดังกล่าวจุดประกาย ให้พาฟลอฟคิดรูปแบบการทดลองเพื่อหาสาเหตุให้ได้ว่า เพราะอะไรสุนัขจึงน้ำลายไหลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอาหาร
          ซึ่งพาฟลอฟได้ทำการทดลองอาจจะอธิบายได้ ดังนี้
                1. สั่นกระดิ่งก่อนที่จะนำอาหาร (ผงเนื้อ) ให้แก่สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่ง และให้ผงเนื้อแก่สุนัข จะต้องเป็นเวลาที่กระชั้นชิดมากประมาณ .25 ถึง .50  วินาที
               2. กระทำซ้ำโดยสั่นกระดิ่งก่อนและให้ผงเนื้อแก่สุนัขควบคู่กันหลาย ๆ ครั้ง
               3. หยุดให้อาหาร เพียงแต่สั่นกระดิ่งเท่านั้น ก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยังมีน้ำลายไหลได้


แนวคิดของวัตสัน (Watson)

          วัตสัน ได้นำเอาทฤษฎีของ Pavlov มาเป็นหลักสำคัญ ในการอธิบายเรื่องการเรียนรู้แนวความคิดของ Watson ก็คือ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคทำให้เกิดการเรียนรู้กล่าวคือ การใช้สิ่งเร้าสองสิ่งมาคู่กันคือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) กับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCR) แล้วทำให้เกิดการตอบสนองอย่างเดียวกัน  การทดลอง เริ่มโดยผู้วิจัยเคาะแผ่นเหล็ก ให้ดังขึ้นให้เสียงดังกล่าวเป็นสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCS) ซึ่งจะก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข (UCR) คือ ความกลัว Watsonได้ใช้หนูขาวเป็นสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข (CS) มาล่อหนูน้อยอัลเบิร์ต (Albert) อายุ 11 เดือน ชอบหนูขาวไม่แสดงความกลัว แต่ขณะที่หนูน้อยยื่นมือไปจับเสียงแผ่นเหล็กก็ดัง ขึ้น ซึ่งทำให้หนูน้อยกลัว ทำคู่กันเช่นนี้เพียงเจ็ดครั้งในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ปรากฏว่าตอนหลังหนูน้อยเห็นแต่เพียงหนูขาวก็แสดงความกลัวทันที


2. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบลงมือทำ (Operant Conditioning Theory)


แนวคิดของธอร์นไดค์ ( Thorndike ) 

          การเรียนรู้ คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนอง และได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ธอร์นไดค์ได้ ทำการทดลองพบว่า การเรียนรู้ของอินทรีย์ ที่ด้อยความสามารถเกิดจากการลองผิดลองถูก ( Trial and Error )
          "สิ่งเร้าใดที่ทำให้เกิดการตอบสนองและการตอบสนองนั้นได้รับการเสริงแรงจะทำให้เกิดการเชื่องโยงระหว่างสิ่งเร้ากับารตอบสนองนั้นเพิ่มมากขึ้น" ได้ทำการทดลองโดย
               1.จับแมวที่กำลังหิวไว้ในกรงและให้แมวได้หาทางออกเพื่อมากินอาหาร
               2.แมวพยายามหาทางออกจนไปพบกับสลักที่ใช้เปิดประตูและออมากินอาหารได้
               3.ต่อมาพบว่าแมวใช้เวลาน้อยลงในการออกจากกรง



แนวคิดของสกินเนอร์

          สกินเนอร์มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะทฤษฎีนี้ต้องการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม สิ่งสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์ โดยสกินเนอร์มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องมีการเสริมแรง ซึ่งการเสริมแรงนี้มีทั้ง การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) และการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)
          การเสริมแรง ( Reinforcement )
          การเสริมแรง หมายถึง การทำให้ผู้ทำพฤติกรรมเกิดความพึงพอใจ เมื่อทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งแล้ว เพื่อให้ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ อีก เช่น เมื่อนักเรียนตอบคำถามถูกต้อง ครูให้รางวัล (นักเรียนพอใจ) นักเรียนจะตอบคำถามอีกหากครูถามคำถามครั้งต่อ ๆ ไป การทำให้ผู้ทำพฤติกรรมเกิดความพึงพอใจทำได้โดยให้ตัวเสริมแรง (Reinforcer) เมื่อทำพฤติกรรมแล้ว
          ประเภทของการเสริมแรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
          1. การเสริมแรงบวก คือ การให้ตัวเสริมแรงบวก เมื่อทำพฤติกรรมที่กำหนด (ต้องการ) แล้ว เช่น ทำงานเสร็จแล้วได้รับค่าจ้าง ทำงานเป็นพฤติกรรมที่กำหนด เงินค่าจ้างเป็นตัวเสริมแรงบวก
          2. การเสริมแรงลบ คือ การให้ตัวเสริมแรงลบ เมื่อทำพฤติกรรมที่กำหนด (ต้องการ) แล้ว เช่น เมื่ออยู่ในห้องที่อบอ้าวเราจะเปิดหน้าต่าง เปิดหน้าต่างเป็นพฤติกรรมที่กำหนด หายอบอ้าวเป็นตัวเสริมแรงลบ หรือนักเรียนที่ตอบคำถามครูถูกจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำรายงานมาส่ง เป็นต้น

          การลงโทษ (Punishment) การเสริมแรงทางลบและการลงโทษมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและมักจะใช้แทนกันอยู่เสมอ แต่การอธิบายของสกินเนอร์การเสริมแรงทางลบและการลงโทษต่างกัน โดยเน้นว่าการลงโทษเป็นการระงับหรือหยุดยั้งพฤติกรรม






วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

คำถามท้ายบทที่ 1


1. MOOCs (Massive Open Online Courses) ถือเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทใด และเพราะอะไร
          ตอบ MOOCs เป็นนวัตกรรมด้านนวัตกรรมสื่อการสอน เพราะ เป็นการเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายในปัจจุบันมาประยุคใช้กับการศึกษา ทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านช่องทางออนไลน์

2. ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาแบ่งออกได้กี่ประเภทและแต่ละประเภทมีข้อดี อย่างไร
          ตอบ นวัตกรรมทางการศึกษาแบ่งออกได้ 5 ประเภท
          1.  นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
          ข้อดี นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น
          2. นวัตกรรมการเรียนการสอน
          ข้อดี สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วน ร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา
          3. นวัตกรรมสื่อการสอน
          ข้อดี การเรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่มและการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
          4. นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล
          ข้อดี ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศึกษา
          5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ
          ข้อดี  สามารถนำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา

3. สมมติว่านักศึกษาไปเป็นครูประจำการ นักศึกษาจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษาใดเข้ามาช่วยในการจัดการในเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล(Individual Different) ของผู้เรียนที่นักศึกษาได้ไปสอนและเพราะเหตุใดจึงเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษานั้น
          ตอบ นวัตกรรมสื่อการสอน เพราะ การสอนแบบโดยปกติครูจะพูดๆๆ ให้นักเรียนฟังนักเรียนคนไหนที่หัวไว หรือสนใจในเรื่องในจะเข้าใจได้ง่าย แต่สำหรับนักเรียนระดับกลางๆลงไปอาจจะเข้าใจได้น้อยหรือไม่เข้าใจเลย ถ้าการมนวัตกรรมด้านสื่อการสอนเข้ามาช่วยจะทำให้นักเรียนที่อ่อนหรือไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนั้นๆเข้ามาศึกษาซ้ำ หรือศึกษาเพิ่มเติมได้ ทำให้นักเรียนได้รับความรู้มากขึ้น

4. ทำไมนักศึกษาวิชาชีพครู จึงต้องเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา
          ตอบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน อีกทั้งเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วถ้าครูไม่ศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษาจะทำให้ครูเป็นคนที่ล้าหลัง ครูควรจะศึกษาเอาไว้แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนจะได้ทันสมัยและดึงดูนักเรียนให้สนใจในการเรียนการสอน นักเรียนจะได้รับความรู้แบบเต็มความสามารถของนักเรียน

5. นักศึกษายกตัวอย่างนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาแพร่หลายในปัจจุบันพร้อมอธิบายข้อดีและข้อจำกัด ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นๆมา 1 ประเภท
          ตอบ 
          ข้อดี ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะได้ประสบการณ์ใหม่ เป็นการกระตุ้นและเพิ่มแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนไค้เป็นอย่างดี อีกทั้งคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ในการแสดงเสียง ภาพ ตลอดจนข้อความที่เคลื่อนไหว ทำให้มีความเหมือนจริงมากขึ้น โดยที่สื่อชนิดอื่น ๆ เพียงชนิดเดียวไม่สามารถทำได้ การเสนอภาพ เสียงอักษร ในเรื่องต่าง ๆ พร้อมกันบน จอภาพเป็นการใช้มัลติมีเดียที่สร้างเสริมประสบการณ์ได้กว้างขวางครอบคลุมได้มากกว่าครู และยังสามารถบันทึกและตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนและแสดงให้เห็นได้ทั้งในรูปของตัวอักษร ภาพ และแผนภูมิ เป็นการประเมินผลของผู้เรียนตลอดเวลา 
          ข้อจำกัด ถึงแม้ว่าราคาเครื่องคอมพิวเตอร์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการ ใช้คอมพิวเตอร์จะถูกลงแล้วก็ตาม แต่การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในสถานศึกษาบางแห่งอาจจะต้องคิดให้รอบคอบเพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษา โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบันยังมีอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในด้านอื่น ๆ ทำให้ยังไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้เรียนในวิชาต่าง ๆ อีกทั้งการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์