Inside Out
Inside Out เปรียบเสมือนการทัศนศึกษาในหัวของคนเรา
เพราะคนเรามีการคิด ตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา มีทั้ง อารมณ์ ความคิด
ความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะวัดหรือพิสูจได้
เมื่อได้ชมหนังแอนิเมชันเรื่องนี้แล้วทำไห้เราเห็นถึงการทำงานต่างๆ
ในหัวของเราที่จะแสดงออกมาทางอารมณ์ ความรู้สึก หรือการตอบสนองอื่นๆ
หนังแอนิเมชันเรื่องนี้ได้จำลองการแสดงออกทางอารมณ์ทั้ง 5 แบบ การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 5 ได้แก่
ความสุข (Joy), ความกลัว (Fear), ความโกรธ (Anger ), ความน่ารังเกียจ
(Disgust) และความเศร้า (Sadness)
โดยสมองแต่ละส่วนมีการทำหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป
โดยในเรื่องจะมี
Joy ตัวแทนแห่งความสุข
ผู้มีมาพร้อมร้อยยิ้มกว้างและเรื่องสนุกสนาน
Anger ตัวแทนของความรู้สึกโกรธ
ผู้มาพร้อมกับไฟบนหัวยามเมื่อรู้สึกโมโหจัด
เขาคือผู้ที่พร้อมจะถูกจุดระเบิดอยู่ตลอดเวลา
Disgust ตัวแทนของความรู้สึกรังเกียจ
อารมณ์ที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจในทุกสิ่งทุกอย่าง
และมาพร้อมท่าทางยียวน ดูเหวี่ยงๆ ตลอดเวลา
Fear ตัวแทนแห่งความรู้สึกกลัว
ผู้ที่มาพร้อมความวิตกกังวลบนหางคิ้วซึ่งตกจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
Sadness ตัวแทนของความรู้สึกโศกเศร้า
ความรู้สึกที่มาพร้อมความมัวหมองตลอดเวลา
ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะเปรียบเสมือนส่วนต่างๆ
ของสมองที่คอยควบคุมอารมณ์ของคนเราในการแสดงออกมา ในบางครั้งเราอาจจะ มีความสุข
หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ หรือหวาดกลัว
ทุกอย่างที่กล่าวมาเกิดล้วนจากการสั่งการของสมองทั้งสิ้น
คนทุกคนจะแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสถานะการณ์
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในหนังแอนิเมชันเรื่องนี้คือ
ความจำ หรือความทรงจำ ซึ่งมีอยู่ 3 แบบคือ
ความจำการรู้สึกสัมผัส (sensory Memory) ความจำระยะสั้น
(Short-Term Memory) กับความจำระยะยาวหรือในเรื่องจะใช้คำว่า
“ความจำหลัก” (Long-Term Memory) ในที่นี้ขอพูดถึงเฉพาะความจำหลัก
ความจำหลัก คือ ที่ที่เราจำแบบฝังใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน
กี่ปีก็ยังจำได้ เช่น วันที่เราหัดปั่นจักรยานครั้งแรก เที่ยวทะเลครั้งแรก
เล่นฮ็อกกี้ครั้งแรก
สิ่งที่เรารู้สึกไม่ดีก็สามารถเป็นความจำหลักของเราได้เหมือนตอนที่ไรลีย์แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนแล้วเธอก็ร้องไห้ทำให้รู้สึกอับอายจนเกิดเป็นความจำฝังใจ
สิ่งที่ได้รับจากการดู Inside Out
1. สิ่งที่ทำให้เราร้องไห้เสียใจก็อาจจะนำมาซึ่งรอยยิ้มได้
2. ความเศร้าทำให้เรารู้จักความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
3. ความโกรธอาจนำมาซึ่งความเสียใจ
4. คนในครอบครัวคือคนที่จะอยู่กับเราในวันที่เราอ่อนแอ
5. สิ่งที่เราได้พบเห็นในแต่ละวันจะทำให้เราเติบโตขึ้น
6. ความสำเร็จต่างๆ
มักเกิดจากความพยายาม
7. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง

ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1. ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
พัฒนาการทางการเรียนรู้และสติปัญญาของเด็กจะมีการพัฒนาไปตามช่วงของวัย
เมื่อเราเติบโตขึ้นเราจะมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนขึ้น
ทฤษฎีของเพียเจต์ก็มีการแบ่งพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กออกเป็นช่วงอายุ
และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆก็จะมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์
บรูเนอร์กล่าวว่า เมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้โครงสร้างทางปัญญาขยาย
และซับซ้อนเพิ่มขึ้น
กล่าวคือเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนรู้จะนำไปสู่การเรียนรู้โดยการค้นพบ
เหมือนตอนที่ไรลีย์ย้ายบ้านทำให้เธอรู้สึกหดหู่ คิดถึงบ้านหลังเดิม
คิดถึงเพื่อนเก่า จนทำให้เธิคิดที่จะหนีออกจากบ้าน
3. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล
ทฤษฎีการเรียนรู้ของออซูเบล
เป็นการเรียนรู้แบบมีความหมายโดยการเรียนรู้สิ่งใหม่
แล้วมีการเชื่อมโยงกับความรู้เดิมเหมือนกับไรลีย์ที่ครอบครัวของเธอชอบเล่นฮ็อกกี้จึงทำมห้เธอเห็นวิธีการเล่นตั้งแต่เด็กๆ
เมื่อเธอเข้าโรงเรียนจึงไก้เป็นนักกีในทีมฮ็อกกี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น